วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

โอดะ โนบุนากะ ขุนพลผู้รวมแผ่นดิน



โนบุนากะ โอดะ (Nobunaga Oda : 織田信長) เป็นหนึ่งในบุคคลที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นยุคเซนโกคุ (戦国時代) ช่วงปี ค.ศ. 1500-1700 โดยตระกูลโชกุนที่ปกครองในตอนนั้นคือ “อะชิคางะ” เกิดการเสื่อมอำนาจขึ้น ทำให้ไดเมียวหรือเจ้าเมืองต่างๆตั้งตนเป็นอิสระและต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันเอง ญี่ปุ่นในตอนนั้นจึงเริ่มเข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมือง ซึ่งกินเวลากว่า 100 ปี 
หรือที่เรียกว่า “ยุคเซนโกคุ” 
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ oda nobunaga troop
Oda nobunaga
แต่ในช่วงมืดมิดของสงครามกลางเมืองสมัยนั้นก็ได้มีขุนพลคนหนึ่งที่สามารถก้าวขึ้นมามีอำนาจเหนือผู้อื่นและคุมประเทศที่กำลังโกลาหลได้อย่างเบ็ดเสร็จก็คือ โนบุนากะ โอดะ 
(Nobunaga Oda : 織田信長) เกิดเมื่อค.ศ. 1534 ที่ปราสาทนาโกยา เป็นบุตรชายคนที่สองของไดเมียวแห่งแคว้นโอวาริ (尾張) จังหวัดไอจิในปัจจุบัน (愛知) ชื่อว่าโนบุฮิเดะ โอดะ 
(Nobuhide Oda : 織田信秀) เมื่ออายุได้ 15 ปี บิดาก็เสียชีวิต โนบุนากะจึงต้องขึ้นเป็นผู้นำแคว้นและกำหราบเหล่าญาติของตนลงจนหมดสิ้น หลังจากนั้นไม่นานก็ได้เปิดฉากสู้กับโยชิโมโตะ อิมาคาวะ (Yoshimoto Imagawa : 今川義元) ไดเมียวใหญ่จากแคว้นมิคาวะที่กำลังจะยกทัพไปบุกเกียวโตในศึกโอเกะฮาซามะ (桶狭間の戦い) โดยการโจมตีอย่างรวดเร็วทำให้สามารถสังหารโยชิโมโตะได้ ทหารของกองทัพจากแคว้นมิคาวะจึงเสียขวัญแตกกระเจิงหนีไป
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ yoshimoto imagawa
โยชิโมโตะ อิมาคาวะ

จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงของโนบุนากะ โอดะ โด่งดังไปทั่วแผ่นดิน เนื่องจากเป็นไดเมียวจากแคว้นเล็กๆที่สามารถตีทัพของไดเมียวจากแคว้นใหญ่แตกกระเจิงได้ ทำให้ไดเมียวจากเมืองต่างๆมาขอผูกมิตรด้วย รวมถึงอิเอยาสุ โตกุกาวะ (Ieyasu Tokugawa : 徳川家康) ขณะเดียวกันก็ทำศึกกับไดเมียวที่ตั้งตนเป็นศัตรู ทำให้อำนาจและกำลังพลของตระกูลโอดะเพิ่มมากขึ้น จนปี ค.ศ.1561 ไดเมียวแห่งแคว้นมิโนะได้เสียชีวิตลงและมอบตำแหน่งให้ลูกชายอายุ 14 ปีสืบทอดต่อ โนบุนากะเห็นว่าเป็นโอกาสดีจึงบุกทะลวงแคว้นมิโนะและเข้ายึดปราสาทกิฟุ (岐阜) บนเขาอินาบะ (稲葉山) ฐานที่ตั้งของไดเมียวเก่าได้สำเร็จ และประกาศนโยบายรวบรวมญี่ปุ่นที่แตกแยกออกเป็นแคว้นต่างๆให้เป็นหนึ่งเดียวภายใต้การปกครองของตนเอง ภายใต้คติที่ว่า Tenka-Fubu (天下布武) ซึ่งแปลว่า “ปกครองแผ่นดินด้วยการทหาร”



ปราสาทกิฟุ
ปราสาทกิฟุ
หลังจากที่โนบุนากะได้อาศัยอยู่ที่ปราสาทกิฟุแล้วระยะหนึ่ง ก็ถูกขอร้องจากโยชิอากิ อะชิคางะ (Yoshiaki Ashikaga : 足利義昭) น้องชายของโชกุนโยชิเตรุ อะชิคางะ (Yoshiteru Ashikaga : 足利義輝) เนื่องจากพีชายถูกขุนพลของตระกูลมิโยชิสังหาร โนบุนากะจึงยกทัพเข้าเกียวโตและจัดการเรื่องราวทั้งหมดลง หลังจากนั้นก็แต่งตั้งให้โยชิอากิขึ้นเป็นโชกุนแทน แม้ว่าตนจะถูกทาบทามอยู่หลายตำแหน่ง แต่ก็ปฏิเสธไปหมด เพราะคิดว่าเป็นคนชักใยอยู่เบื้องหลังของโชกุนจะดีกว่าดำรงตำแหน่งต่างๆ จนปี ค.ศ. 1573 โยชิอากิคิดแข็งข้อและขอความช่วยเหลือจากตระกูลอาซาคุระ โนบุนากะจึงทำสงครามและเนรเทศโชกุนออกไป ถือเป็นการสิ้นสุดอำนาจของตระกูลอะชิคางะที่ปกครองญี่ปุ่นมายาวนานกว่า 200 ปี เมื่ออำนาจในเมืองเกียวโตและแถบภูมิภาคคันไซเริ่มมั่นคงแล้ว โนบุนากะจึงค่อยขยายกำลังไปทางตะวันออกเรื่อยมา
แม้ว่าจะกำจัดโชกุนได้แล้วโนบุนากะก็ยังมีศัตรูมากมายที่ยังต่อต้านเขาอยู่ ศัตรูสำคัญพวกหนึ่งคือกบฎ “อิกโกะ อิกกิ” ( Ikko-ikki : 一向一揆) ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของพระนักรบและชาวบ้านท้องถิ่นเพื่อต่อต้านการปกครองของชนชั้นซามูไร มีฐานที่มั่นอยู่ที่วัดฮงกัง (Hongan-ji : 本願寺) บนเขาอิชิ (Ishi : 石山) อยู่ที่โอซาก้าในปัจจุบัน พระนักรบเหล่านี้มีอำนาจมาก เป็นนักบวชในพุทธศาสนาที่ชำนาญการใช้อาวุธเหมือนซามูไร และก็ต่อต้านอำนาจของโนบุนากะเนื่องจากเห็นว่าโนบุนากะนับถือศาสนาคริสต์ โนบุนากะได้ทำสงครามเพื่อกวาดล้างพระนักรบอยู่หลายครั้ง จนในที่สุดก็สามารถกวาดล้างและชนะกบฎอิกโกะอิกกิลงได้

แม้ว่าโนบุนากะจะทำสงครามอย่างโหดเหี้ยมแต่เขาก็ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก เช่น ในการโจมตีเมืองซาไกซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญ โนบุนากะไม่ได้ทำลายเมืองนี้ แต่กลับให้ความช่วยเหลือบรรดาพ่อค้ารายใหญ่ของเมืองในการก่อตั้งสมาคมพ่อค้า นอกจากนี้ยังมีการให้สิทธิพิเศษด้านภาษีอากรและรวบรวมระบบชั่ง ตวง วัด ให้ได้มาตรฐานทั้งประเทศทำให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นไม่เลวร้ายอย่างที่น่าจะเป็น นอกเหนือจากการเป็นนักรบ โนบุนากะก็ไม่เคยละเลยเรื่องศิลปะ โดยหลังจากได้อำนาจแล้วได้สร้างปราสาทอาซึชิ ที่ริมทะเลสาปบิวะซึ่งเป็นปราสาทที่สวยงามและมีกำแพงหินที่แข็งแรงทนทานต่อปืนใหญ่ นอกจากนี้ยังสร้างพระราชวังแห่งใหม่ที่เกียวโตด้วย อย่างไรก็ดียุคสมัยของโนบุนากะก็ถือว่าไม่ยาวนานนัก ในงานเลี้ยงคืนหนึ่ง โนบุนากะได้ล็อกศรีษะของมิสึฮิเดะ อาเกชิ (Mitsuhide Akechi : 明智光秀) นายทหารคนสนิทไว้ในวงแขนและใช้ด้ามพัดตีศรีษะด้วยอารมณ์สนุกสนาน มิสึฮิเดะอับอายและเคียดแค้นมาก จึงรอโอกาสล้างแค้น
                                                                                      

   จนกระทั่งปี ค.ศ. 1582 โนบุนากะส่งกองทัพส่วนใหญ่ไปทำสงครามที่ชูโงคุทำให้กำลังในเกียวโตมีเพียงเล็กน้อย มิสึฮิเดะเองก็เป็นนายพลคนหนึ่งที่ต้องคุมทัพไปด้วยจึงวางแผนตลบหลังโนบุนากะนำกำลังทหารของตนเองย้อนกลับมายังปราสาทอะชิซึ เพื่อล้างแค้นความอับอายขายหน้าที่โนะบุนะงะได้สร้างไว้แก่ตน มิสึฮิเดะได้คุมกองกำลังทหารจำนวนมากเข้าตีโอบล้อมโนบุนากะที่เดินทางออกจากปราสาทอะชิซึ ไปพักอยู่ที่วัดฮนโน จากการถูกตลบย้อนหลังด้วยนายทหารคนสนิททำให้โนบุนากะโกรธแค้นมาก แต่ด้วยศักดิ์ศรีจึงยอมทำฮาราคีรี หรือคว้านท้องตนเองเพื่อไม่ให้ชีวิตของตนต้องถูกผู้อื่นประหาร เป็นการปิดฉากนักรบผู้เป็นตำนานของญี่ปุ่นอย่างสมศักดิ์ศรี
Honnoj_R
มิสึฮิเดะคุมกองกำลังทหารเข้าตีโอบล้อมโนบุนากะในขณะอาศัยอยู่ที่วัดฮนโน

อ้างอิง
1. 
http://anngle.org/th/j-culture/vips/nobunaga.html

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

จุดกำเนิดของsamurai

 สวัสดีครับวันนี้ผมจะนำเสนอเรื่องจุดกำเนิดของซามูไรแล้วมาเริ่มกันเลยดีกว่า

                            ซามูไร ( ญี่ปุ่นภาษาไทยนิยมทับศัพท์ว่า "ซามูไร" ) แปลเป็นภาษาไทยว่าทหาร คำว่า ซะมุไร มีต้นกำเนิดจากคำว่า ซะบุระอุ ซึ่งเป็นคำกริยาในภาษาญี่ปุ่นโบราณ ที่มีความหมายว่า รับใช้ ฉะนั้น ซะมุไรก็คือคนรับใช้นั่นเอง


                             เป็นที่เชื่อกันว่า รูปแบบของเหล่านักรบบนหลังม้า มือธนู และทหารเดินเท้าในช่วงศตวรรษที่ 6 น่าจะเป็นตัวบทต้นแบบของซะมุไรดั้งเดิม ขณะที่จุดกำเนิดของซะมุไรสมัยใหม่ยังเป็นปัญหาที่โต้เถียงกันอยู่ หลังจากการสู้รบในสงครามนองเลือดกับฝ่ายราชวงศ์ถังของจีน และอาณาจักรซิลลาของเกาหลี ญี่ปุ่นก็เข้าสู่ยุคแห่งการปฏิรูปไปทั่วทุกหัวระแหง โดยการปฏิรูปครั้งสำคัญที่สุดคือการปฏิรูปไทกะซึ่งกระทำโดยจักรพรรดิโคโตกุเมื่อ ค.ศ. 646 การปฏิรูปในครั้งนั้น ได้เริ่มนำเอาวัฒนธรรมการปฏิบัติและเทคนิคการบริหารต่าง ๆ ของจีนมาใช้กับกลุ่มชนชั้นสูงและระบบราชการของญี่ปุ่น
ถึง ค.ศ. 702 ประมวลกฎหมายโยโรและประมวลกฎหมายไทโฮก็ถือกำเนิดขึ้น พร้อมกับคำสั่งที่ให้ประชาชนมารายงานตัวเป็นประจำกับทางการเพื่อเก็บข้อมูลมาสร้างสำมะโนประชากร ที่ต่อมาจะถูกนำมาใช้เป็นตัวชี้วัดสำหรับการเกณฑ์ทหาร หลังจากนั้น เมื่อการทำสำมะโนประชากรเสร็จสิ้นลงจนทำให้รู้ว่าประชากรในญี่ปุ่นมีการกระจายตัวกันอย่างไร จักรพรรดิคัมมุก็ได้ริเริ่มกฎหมายให้ประชากรเพศชายที่เป็นผู้ใหญ่ 1 ใน 3 ถึง 4 คนต้องถูกเกณฑ์เป็นทหารเพื่อรับใช้ชาติ โดยผู้ที่จะเข้ามาเป็นทหารเหล่านี้จะถูกขอความร่วมมือให้ส่งมอบอาวุธของตนแก่ทางการ แต่พวกเขาจะได้รับการยกเว้นในการเสียภาษีและการรับหน้าที่ต่างๆ เป็นสิ่งตอบแทนในช่วงต้นของยุคเฮอัง ประมาณปลายคริสต์ศตวรรษที่ 8 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 9 จักรพรรดิคัมมุ (ญี่ปุ่น: 桓武天皇 Kanmu Tennō ) ได้หาทางทำให้อำนาจของตนทรงพลังและแผ่ขยายไปทั่วตอนเหนือของเกาะฮนชู (แผ่นดินใหญ่ของญี่ปุ่น) แต่กระนั้นเอง ความหวังดังกล่าวก็เริ่มเกิดปัญหา เมื่อกำลังทหารที่จักรพรรดิส่งไปเพื่อปราบกบฏเอมิชิกลับไร้ซึ่งแรงจูงใจและระเบียบวินัยจนต้องแพ้ทัพกลับมา จักรพรรดิคัมมุจึงต้องแก้เกมใหม่โดยการสถาปนาตำแหน่งเซอิไตโชงุง (ญี่ปุ่น: 征夷大将軍 Seiitaishogun, "แม่ทัพใหญ่ผู้ปราบคนเถื่อน" ) หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า โชงุง (ภาษาไทยนิยมทับศัพท์ว่า โชกุน) ขึ้นมา เพื่อให้พวกเขาเหล่านี้ไปพิชิตกลุ่มกบฏเอมิชิ เป็นผลให้ทั้งหน่วยประจัญบานบนหลังม้าและนักแม่นธนู (คิวโดะ (ญี่ปุ่น: 弓道 Kyudo ) ที่มีทักษะฝีมือ ต้องถูกเรียกเข้ามาเป็นเครื่องมือ สำคัญในการคว่ำกำลังกบฏทั้งหลาย ซึ่งถึงแม้ว่านักรบเหล่านี้จะเป็นผู้ที่มีการศึกษาก็ตาม แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว (ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 7 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 9) ตามสายตาของทางการแล้ว พวกเขายังถูกมองว่าเป็นชนชั้นที่สูงกว่าคนเถื่อนขึ้นมานิดเดียว
แต่ในที่สุด จักรพรรดิคัมมุก็ยุติการบัญชาทัพของพระองค์ไป และอำนาจของพระองค์ก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน กลุ่มตระกูลที่ทรงอิทธิพลในนครเคียวโตะ ก็ได้เข้าครองตำแหน่งเสนาบดี และบางส่วนก็มีอำนาจเป็นผู้ปกครองหรือศาลแขวง กลุ่มผู้ปกครองเหล่านี้มักจะเรียกเก็บภาษีจากประชาชนอย่างหนักหน่วง เพื่อที่จะสะสมความมั่งคั่งและเป็นการคืนกำไรให้กับพวกตน จึงส่งผลสำคัญให้ชาวนาหลายต่อหลายคนไร้ที่ดินอยู่ อัตราการปล้นสดมภ์ก็เพิ่มขึ้น เหล่าผู้ปกครองจึงแก้ปัญหาโดยการรับสมัครผู้ถูกเนรเทศในเขตคันโตให้มาฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อย่างเข้มงวด เพื่อที่จะใช้พวกเขาเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ทรงประสิทธิภาพ บางครั้งก็ให้ไปช่วยเก็บภาษีและยับยั้งการทำงานของเหล่าหัวขโมยและโจรป่า พวกเขาเหล่านี้ได้ถูกเรียกว่า ซะบุไร (saburai) หรือผู้ที่ถวายตัวเป็นข้ารับใช้ให้แก่กองทัพ ซึ่งผู้ที่เป็นซะบุไรมักจะได้เปรียบกว่าคนอื่น เนื่องจากพวกเขาจะได้รับอำนาจทางการเมืองและมีชนชั้นที่สูงขึ้น
แต่ซะบุไรบางกลุ่มก็เป็นเพียงชาวนาและพันธมิตรที่จับอาวุธขึ้นปกป้องตนเองจากกลุ่มซาบุไรที่มีอำนาจสูงกว่า และผู้ปกครองที่จักรวรรดิส่งมาเพื่อเก็บภาษีและครอบครองที่ดินของพวกเขา ซึ่งต่อมา ในช่วงยุคเฮอังตอนกลาง ซะบุไรกลุ่มนี้เองได้นำเอาลักษณะพิเศษของชุดเกราะและอาวุธต่างๆ ของญี่ปุ่นมาวางไว้เป็นพื้นฐานของกฎแห่งบุชิโด ซึ่งเป็นกฎที่ประมวลรวมหลักจรรยาต่างๆ ของพวกเขา
หลังจากการผ่านพ้นของซามูไรพเนจรศตวรรษที่ 11 เป็นต้นมา ผู้ที่จะมาเป็นซะมุไรต่างได้รับการคาดหวังว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีวัฒนธรรมและอ่านออกเขียนได้ โดยพวกเขาจะต้องสามารถใช้ชีวิตให้กลมกลืนไปกับคำกล่าวโบราณที่ว่า บุง บุ เรียว โดะ (สว่าง, ศิลปะอักษร, ศิลปะการทหาร, วิถีทั้งสอง) หรือความกลมกลืนแห่งพู่กันและดาบ ให้ได้ โดยจะเห็นจากชื่อเฉพาะที่ใช้เรียกเหล่านักรบในช่วงแรกๆ ว่า อุรุวะชิ คำนี้ถูกเขียนขึ้นมาด้วยตัวอักษรคันจิที่มีการผสมรวมระหว่างลักษณะเฉพาะตัวของศิลปะอักษร (ญี่ปุ่น:  bun  ตรงกับภาษาจีน "บุ๋น") และศิลปะการทหาร (ญี่ปุ่น:  bu  ตรงกับภาษาจีน "บู๊") เข้าด้วยกัน และมโนทัศน์เช่นเดียวกันนี้ ยังถูกกล่าวไว้ในเรื่องเล่าแห่งเฮเกะ (เฮเกะ โมะโนะงะตะริ, สมัยปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12) โดยมีการอ้างอิงไว้ในคำกล่าวของตัวละครที่มีต่อการตายของ ไทระ โนะ ทะดะโนริ นักดาบ-นักกวีผู้มีการศึกษาคนหนึ่งว่า:
“เหล่าเพื่อนและพวกศัตรูต่างก็มีน้ำตาชุ่มเปียกที่แขนเสื้อ และพากันกล่าวว่า ‘น่าเสียดายเหลือเกิน! ทะดะโนะริเป็นขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ มีฝีมือทั้งศิลปะการใช้ดาบและการกวี’ ”
วิลเลียม สก็อตต์ วิลสัน ได้กล่าวเอาไว้ในหนังสือของเขาที่ชื่อ ไอเดียลส์ ออฟ เดอะ ซะมุไร ว่า: “เหล่านักรบในเฮเกะ โมะโนะงะตะริ ถือได้ว่าเป็นตัวแบบสำหรับนักรบที่มีการศึกษาในรุ่นต่อๆ มา และอุดมการณ์ต่างๆ ที่ถูกอธิบายโดยนักรบแต่ละคนในเรื่องเล่า ก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ยากที่จะทำตามหรือเอื้อมถึง ยิ่งกว่านั้น อุดมการณ์เหล่านี้ยังเป็นที่ต้องการอย่างมากในสังคมนักรบชั้นสูง และยังเป็นสิ่งที่ถูกแนะนำว่าเหมาะสมที่จะนำมาใช้เป็นรูปแบบของมนุษย์ติดอาวุธชาวญี่ปุ่นทุกคน ด้วยอิทธิพลของเฮเกะ โมะโนะงะตะริ นี่เอง ภาพลักษณ์ของนักรบญี่ปุ่นในงานวรรณกรรมต่างๆ จึงสุกงอมอย่างเต็มที่” ต่อมา วิลสันยังได้แปลงานเขียนของนักรบบางคนที่มีชื่อในเรื่องเล่าแห่งเฮเกะนี้ เพื่อเป็นตัวอย่างให้คนที่ได้อ่านปฏิบัติตนตามอีกด้วย
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ยุคเริ่มต้นซามูไร

อ้างอิง
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8B%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B9%84%E0%B8%A3#.E0.B8.88.E0.B8.B8.E0.B8.94.E0.B8.81.E0.B8.B3.E0.B9.80.E0.B8.99.E0.B8.B4.E0.B8.94          
http://samuir.blogspot.com/